วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) หยดน้ำงามแห่งแคว้นโบฮีเมีย

ใครที่ไปเที่ยวสาธารณรัฐเช็ค นอกจากกรุงปรากที่งดงามยิ่งใหญ่แล้ว  ก็คงไม่พลาดเมืองในเทพนิยายอย่างเชสกี้ คลุมลอฟเป็นแน่  ทั้งสองเมืองเป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวาเหมือนกัน และมีปราสาทกลางเมืองทั้งคู่   แต่ขณะที่ปรากให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ หรูหราใหญ่โต ผู้คนพลุกพล่านแบบเมืองหลวง  เชสกี้ ครุมลอฟกลับให้อารมณ์แบบชนบทที่อิงแอบใกล้ชิดธรรมชาติ  กะทัดรัดจับต้องได้  ผู้คนใช้ชีวิตอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบ

 
เชสกี้ครุมลอฟอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐเช็ค ใกล้ชายแดนออสเตรีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวาตอนต้นใกล้แหล่งกำเนิดของแม่น้ำ ก่อนที่จะไหลต่อไปเป็นกระแสน้ำสายใหญ่ผ่านกรุงปราก  ช่วงที่แม่น้ำวัลตาวาไหลผ่านเชสกี้ ครุมลอฟดูเหมือนเป็นเพียงลำธารเล็ก ๆ สายน้ำคดไปเคี้ยวมาเหมือนรูปตัว S จนทำให้ภูมิทัศน์ของตัวเมืองดูราวกับหยดน้ำที่กำลังจะร่วงหล่นจากขั้ว

 
บางคนบอกว่าดูเหมือนไข่มุกบนต่างหูมากกว่า



ศูนย์กลางของเมืองนี้คือปราสาทครุมลอฟ ซึ่งมีหอคอยสีชมพูตั้งเด่นเป็นสง่า มองจากจุดไหนในเมืองก็เห็น  ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเขาลูกเตี้ย ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ปลูกจนกลมกลืนไปทั้งปราสาทและภูเขา

 
ปราสาทครุมลอฟมีอายุกว่า 700 ปี ผ่านการครอบครองของขุนนางถึง 3 ตระกูล ที่ใช้เป็นคฤหาสน์ส่วนตัว ก่อนจะตกเป็นสมบัติของรัฐบาลในที่สุด  เป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสาธารณรัฐเช็ครองจากปราสาทปราก

 
การเข้าชมภายในต้องซื้อทัวร์ซึ่งจัดเป็นรอบ ๆ จะมีไกด์พาเดินชมพร้อมอธิบายรายละเอียด ประวัติศาสตร์ ที่มา ตำนาน  ถ้าต้องการเข้าชมภายในให้รีบไปแต่เช้าเพื่อซื้อตั๋วรอบที่เราอยากชมก่อนเลยนะครับ แล้วจึงค่อยไปเดินเล่นรอบ ๆ ถ้าไปทีหลังอาจจะเต็มหรือไม่ได้รอบที่ต้องการ  ทัวร์ชมภายในจะปิดวันจันทร์และปิดทุกวันในช่วงฤดูหนาว  ฉะนั้นต้องวางแผนการเดินทางให้ดี  เลี่ยงได้อย่าไปวันจันทร์นะครับ



ทัวร์จะมีให้เลือก 3 ทัวร์ ทัวร์แรกพาชมห้องหลัก ๆ ของปราสาทที่มีชื่อเสียง  ทัวร์สองเน้นไปที่ประวัติศาสตร์ของตระกูลชวาเซนแบร์ก (Schwarzenberg) ที่ครอบครองปราสาทในช่วงสุดท้ายก่อนตกเป็นของรัฐบาล  ทัวร์สามเป็นโรงละครบาโรคที่เก่าแก่หาชมได้ยาก

สำหรับทัวร์แรก ไฮไลต์อยู่ที่ห้องสุดท้ายคือห้องเต้นรำสวมหน้ากาก (Masquerade Hall) ที่ตกแต่งอย่างงดงามในสไตล์โรโคโค  ตรงกลางเป็นโถงโล่ง  ผนังรอบห้องประดับประดาไปด้วยภาพวาดของผู้คนในงานเทศกาลเต้นรำสวมหน้ากาก แต่งตัวแบบแฟนซี  ใช้เป็นที่จัดงานสังสรรค์  มีระบบอคูสติกดีมาก




มีเรื่องเกี่ยวกับห้องนี้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนรับใช้ในปราสาทเก็บสร้อยไข่มุก ที่หลุดจากคอของสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งที่มาร่วมงานเลี้ยง  คนรับใช้เกิดความโลภต้องการเก็บสร้อยไว้เป็นของตน แต่รูปวาดบนผนังกลับมีชีวิต ออกมาจากรูปเพื่อป้องกันไม่ให้คนรับใช้ขโมยสร้อยเส้นดังกล่าว  คนรับใช้เกิดความกลัวเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นเขาปฏิบัติตัวเป็นข้าที่ซื่อสัตย์จนวันตาย

 
ทัวร์ที่สาม พาชมโรงละครบาโรค ซึ่งถือเป็นไฮไลต์สำคัญอีกอย่างของปราสาทครุมลอฟ  เพราะที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในสองของโรงละครบาโรคที่ยังหลงเหลือยู่ในโลก  ทุกอย่างถูกเก็บรักษาและบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิม  เราจะเห็นการจัดฉากเพื่อลวงตาให้เกิดมิติความลึกด้วยเทคโนโลยีที่มีในสมัยนั้น กลไกที่ใช้การเปลี่ยนฉากที่ทำด้วยไม้ ระบบแสงเสียง  ปัจจุบันมีจัดการแสดงที่โรงละครแห่งนี้ปีละสามครั้ง


 
ที่นั่งฝั่งคนดู



บ้านเรือนทั้งหลายมีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี เป็นอาคารแบบเรอเนซองส์และบาโรค 

 
ประตูเมือง

 
เนื่องจากไม่ถูกทำลายจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง แถมช่วงที่ปกครองโดยคอมมิวนิสต์แทบจะไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาเยือนเลย จึงทำให้เชสกี้ ครุมลอฟคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้ทั้งหมด จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ ในปี ค.ศ.1992



อาคารบ้านเรือนในเชสกี้ ครุมลอฟนิยมสร้างหลังคาเป็นสีแดงอมน้ำตาลเป็นเอกลักษณ์ทั้งเมือง 

 
เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นความเป็นเอกภาพของเมืองที่งดงามราวกับเมืองตุ๊กตา



วิธีที่สะดวกที่สุดในการเดินทางมาเชสกี้ ครุมลอฟคือทางรถ  มีรถบัสระหว่างกรุงปรากกับเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ ของบริษัท Student Agency ให้บริการหลายเที่ยวต่อวัน  (ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียนก็ขึ้นได้นะครับ)  นี่คือเว็ปไซต์ตารางเวลาการเดินรถ
http://www.studentagency.cz/express/vnitro/?&en

ส่วนการเดินทางไปยังเมืองอื่น ๆ ในออสเตรีย เช่นเวียนนา ลินซ์ ฮอลชตัดต์ ซาลส์บวร์ก สามารถใช้บริการรถส่วนบุคคลได้ในราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับระยะเวลาและความสะดวก  ที่เมืองเชสกี้ ครุมลอฟมีหลายบริษัทที่ให้บริการดังกล่าว อาจจะเป็นรถเก๋งหรือรถตู้ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร ลองติดต่อโรงแรมหรือ hostel ที่ไปพักดูนะครับ ติดต่อล่วงหน้าซักวันก่อนเดินทาง นี่เป็นเว็ปไซต์ของบริษัทที่ให้บริการ shuttle bus เผื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการเดินทาง
http://www.ckshuttle.cz/
http://www.shuttlebus.cz/
ได้นั่งรถชมวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาโดยเฉพาะเมื่อข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสองประเทศ  ในขณะที่ฝั่งออสเตรียพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมไปแล้ว  ทางฝั่งสาธารณรัฐเช็คยังมีพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์

 

มาชูพิชชู แผ่นดินสวรรค์ที่สาบสูญของชาวอินคา


มาชูพิชชู แผ่นดินสวรรค์ที่สาบสูญของชาวอินคา

เมื่อคราวก่อนได้แนะนำสถานที่ที่เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งประกาศไปเมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ค.ศ. 2007 ไปแล้วที่หนึ่งคือพีระมิดชิเชนอิทซ่าในประเทศเม็กซิโก วันนี้มาชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกแห่งกันนะครับ


 
บนยอดเขาสูงในเขตประเทศเปรู ในทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาจักรโบราณที่ซุกซ่อนตัวจากโลกภายนอกเป็นเวลาหลายร้อยปี จนเพิ่งได้ถูกค้นพบเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมานี่เอง อาณาจักรแห่งนี้คือมาชู พิชชู (Machu Picchu) ของพวกชนเผ่าอินคาที่สร้างเมือง ณ ที่แห่งนี้เมื่อประมาณ 500 กว่าปีมาแล้ว


 
สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังจากงานสถาปัตยกรรมที่อยู่บนยอดเขาสูงเสียด ฟ้าและยังผสมผสานเข้ากับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และงดงามได้อย่างกลมกลืน 

 
พวกชาวเผ่าอินคาได้สร้างมาชูพิชชูสร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1460-1470  บนเทือกเขาแอนดิสสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,350 เมตรเหนือผืนป่าอเมซอน มีทำเลที่ดีในการป้องกันข้าศึกเป็นอย่างดี มีป้อมปราการเป็นชั้นๆ  มีส่วนที่ทำการกสิกรรม บ้านเรือน ตลาดร้านค้า และศาสนสถาน ประกอบด้วยอาคารรวม 200 หลัง ซึ่งแสดงถึงความสามารถด้านการก่อสร้างเป็นอย่างดี


นอกจากนี้การก่อสร้างมาชูพิชชูยังแสดงถึงอัจฉริยภาพของชาวอินคาในการสร้างระบบชลประทานเพื่อทำการเกษตรทั้งที่อยู่บนยอดเขาสูง มีการทำการเกษตรกรรมแบบขั้นบันไดตามไหล่เขา เพาะปลูกข้าวโพดและมันฝรั่ง


 
ในยุคนั้นมีผู้อยู่อาศัยราว 1,200 คน จากการขุดค้นพบซากมัมมี่พบว่าส่วนใหญ่เป็นหญิงถึงประมาณ 80% ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นเทพีพรหมจารีสำหรับสุริยเทพ ส่วนที่เหลือจะเป็นพระและเด็ก ชาวอินคาไม่รู้จักการใช้ล้อเลื่อน ดังนั้นวิธีการขนหินที่มีขนาดใหญ่จำนวนมากมาทำการก่อสร้างจึงยังคงเป็น ปริศนามาจนทุกวันนี้

 
คนทั่วไปมักสับสนระหว่างชนพื้นเมืองเผ่ามายากับเผ่าอินคา พวกมายาอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือตอนกลาง แถบประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ขณะที่พวกอินคาอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ชาวอินคาไม่เคยสร้างพีระมิด ผิดกับพวกมายาที่นิยมสร้างพีระมิด ฉะนั้นจึงไม่พบพีระมิดในทวีปอเมริกาใต้



หลังจากที่พวกอินคาสร้างและอาศัยอยู่ในมาชูพิชชู เพียงไม่นาน นครนี้ก็กลายเป็นเมืองร้างปราศจากผู้คนเป็นเวลากว่า 300-400 ปี กลายเป็นเมืองที่สูญหายเหลือแต่เพียงเรื่องเล่าในตำนานปรับปราเท่านั้น


 
เมื่อชาวสเปนเข้ามาปกครองเปรูเป็นอาณานิคมในปี ค.ศ.1532 ได้ทำลายอาณาจักรอินคาอย่างราบคาบ แต่ชาวสเปนกลับไม่เคยทราบและค้นพบมาชูพิชชูแห่งนี้ จึงทำให้ทั้งเมืองอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีอยู่และซุกซ่อนตัวอยู่ในป่าดงดิบ




จนกระทั่งเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Yale ชื่อ Hiram Bingham ซึ่งสนใจประวัติศาสตร์และโบราณคดีของพวกชาวอินคา จึงได้ออกเดินทางแกะรอยเพื่อค้นหาเมืองในตำนานที่สาบสูญ เขาได้ค้นพบมาชูพิชชูในป่าทึบบนยอดเขาสูง และได้เปิดเผยสู่สาธารณชนผ่านทางหนังสือชื่อ The Lost City of Incas ซึ่งโด่งดังและขายดีจนทำให้โบราณสถานแห่งนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก




ปัญหาปัจจุบันของมาชูพิชชูคือจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมปีละ 4 แสนกว่าคนและมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือรายได้หลักของประเทศเปรู แต่สิ่งที่ตามมาคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้น ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาแนวคิดเรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อสร้างรายได้และยังคงรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของโลกและคนรุ่นหลังได้ตลอดไป

Yellowstone อุทยานแห่งแรกของโลก

 
Yellowstone อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโลก
หลังจากชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามจากฝีมือมนุษย์ไปหลายที่แล้ว วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวชมธรรมชาติกันบ้าง วันนี้จะพาไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติแห่งแรกที่มีขึ้นในโลกใบนี้ นั่นคืออุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) ประเทศสหรัฐอเมริกา

 
อุทยานแห่งชาติ Yellowstone ถือกำเนิดมาในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1872 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.2415 ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทย ครอบคลุมเนื้อที่ 3 รัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ถึง 96% อยู่ในรัฐไวโอมิง (Wyoming) ส่วนที่เหลืออยู่ในรัฐมอนทานา (Montana) และรัฐไอดาโฮ (Idaho)

อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว้างขวางใหญ่โต เคยเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเนื้อที่มากเป็นอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกาเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งมีการสถาปนาหุบเขามรณะ (Death Valley) ซึ่งเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ.1994 ทำให้ Yellowstone ตกลงมาเป็นอันดับสอง

 
ลักษณะสำคัญของพื้นที่แถบนี้คือมีเปลือกโลกที่บาง ทำให้ความร้อนใต้พิภพมีบทบาทสำคัญต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกส่วนนี้ เช่น น้ำพุร้อน บ่อน้ำร้อน น้ำตกหินปูน ทะเลสาบบนภูเขาที่เกิดจากการระเบิดของเปลือกโลก เนื่องจากความร้อนใต้พิภพแผ่ขึ้นมาเปลือกโลกบริเวณนี้ ทำให้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าทั้งหลายที่ต้องการความอบอุ่นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่เย็นยะเยือก อีกด้วย

 
ไฮไลต์สำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวใน Yellowstone ประกอบด้วย 3 ส่วนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนแรกคือเขตน้ำพุร้อนและบ่อน้ำร้อน เขตนี้จะอยู่ทางตอนใต้ของอุทยาน ประกอบไปด้วยน้ำพุร้อนและบ่อน้ำร้อนใหญ่น้อยมากมาย คำว่าน้ำพุร้อน ภาษาอังกฤษเรียกว่า geyser คนอเมริกันอ่านว่า “ไกเซอร์” แต่คนอังกฤษอ่านว่า “กีเซอร์”

 
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือน้ำพุ Old Faithful Geyser น่าจะแปลได้ว่าน้ำพุร้อนเก่าแก่ที่ซื่อสัตย์ น้ำพุร้อนนี้ไม่ใช่อันที่สูงที่สุด หรือใหญ่ที่สุด หรือพุ่งขึ้นนานที่สุด แต่เหตุที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็เพราะเป็นน้ำพุร้อนที่ขึ้นตรงเวลามาก คือประมาณทุก 91 นาที จะพุ่งขึ้น และพุ่งขึ้นเป็นเวลาประมาณ 3-5 นาที และขึ้นได้สูงถึง 130 ฟุต น้ำพุบางอันใหญ่กว่า สูงกว่า แต่ไม่แน่ว่าจะขึ้นเมื่อไหร่ อาจจะ 3 ชั่วโมง หรือเป็นวันถึงจะขึ้นที

 
ส่วนที่สองคือหุบเขาแกรนด์แคนย่อนแห่งเยลโลว์สโตน (Grand Canyon of the Yellowstone) ซึ่งมีไฮไลต์ที่สำคัญคือน้ำตกเยลโลว์สโตนอันสวยงาม จากรูปจะเห็นได้ว่าหินตรงนี้มีสีเหลือง จึงเป็นที่มาของชื่อ Yellowstone

 
จุดชมวิวต่าง ๆ ตามแนวหุบเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินต่าง ๆ สร้างสรรค์ผลงานมากมาย รวมทั้งรูปวาดที่นักสำรวจรุ่นแรกได้วาดไว้และส่งไปให้รัฐสภาของสหรัฐฯ ได้ชื่นชมจนกลายมาเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในโลกขึ้นในที่สุด

 
ส่วนที่สามคือน้ำตกหินปูนขนาดมหึมาและมีความสวยงามมาก ที่เรียกว่า “แมมมอธ ฮอตสปริง” (Mammoth Hot Spring)

 
น้ำร้อนที่ไหลพาแร่ธาตุจากใต้พื้นโลกค่อย ๆ ไหลลงมาเป็นน้ำตกจนเกิดการสะสมของหินปูนกลายเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงมา สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ส่วนนี้มีความอบอุ่นเพียงพอที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ในฤดูหนาว

 
Morning Glory Pool สระน้ำสีฟ้า-เขียว-เหลือง สีสวย ๆ ที่เห็นเป็นสีของจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตได้ดีในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง

 
Grand Prismatic Spring ภาพถ่ายจากอากาศ เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยาน เส้น ๆ ที่เห็นคือทางเดินให้คนเดินไปชมใกล้ ๆ ในรูปแทบมองไม่เห็นคนซึ่งมีขนาดเท่ามด

 
ดูระยะใกล้อีกรูปให้ชัด ๆ จะเห็นความยิ่งใหญ่ของบ่อน้ำร้อนแห่งนี้

 
ทะเลสาบ Yellowstone อยู่บนระดับความสูง 7,733 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล มีเนื้อที่ 139 ตารางไมล์ และลึกถึง 320 ฟุต

 
Mt.Washburn สูง 10,243 ฟุต

 
สมัยก่อนหน้าที่จะมีอุทยานแห่งชาติขึ้น มนุษย์โลกยังมีไม่มากนัก ธรรมชาติก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ สัตว์ป่าก็หากินตามธรรมชาติของมัน จวบจนที่มนุษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องแก่งแย่งเพื่อหาปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต จนต้องรุกล้ำธรรมชาติมากเข้าไปทุกที ในขณะนั้นมีนักสำรวจหลายคนที่บุกเบิกเข้าไปในกลางทวีปอเมริกาที่ยังเป็นป่าอุดมสมบูรณ์อยู่ จนได้พบบริเวณที่เป็นอุทยานแห่งชาติ Yellowstone ในปัจจุบัน จึงได้มีการรณรงค์ให้รัฐบาลขณะนั้นปกป้องอาณาบริเวณแห่งนี้ขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติร่วมกัน แทนที่จะโดนบุกรุกจับจองแสวงหาผลประโยชน์โดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ป่าทั้งหลายจึงมีที่อยู่อาศัยเป็นแห่งหากินและสืบพันธุ์โดยไม่ถูกล่า จริง ๆ ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนมีสัตว์ป่าให้ชมมากมาย โดยเฉพาะควายไบซัน

 
แล้วก็กวาง elk

 

 
รูปประตูทางเข้าด้านทิศเหนือ จะมีคำขวัญว่า "FOR THE BENEFIT AND ENJOYMENT OF THE PEOPLE"

 
อดไม่ได้ ขอแถมรูปน้ำตกซึ่งมีมากมายใน park ให้ชมเพิ่มเติมอีกซักเล็กน้อย

Gibbon Falls, Yellowstone National Park

 
Undine Falls

 

อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton,USA)

 

วันนี้พาเที่ยวต่อจาก Yellowstone ครับ ถ้าขับรถลงมาจาก Yellowstone ไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็จะถึงอุทยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่าอุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park) ต้องออกเสียงว่าทีทอนนะครับ หนังสือท่องเที่ยวของไทยหลายเล่มเขียนเป็น "ทีตัน" หรือ "เทตัน"

 
ถึงจะอยู่ห่างจาก Yellowstone เพียงนิดเดียว แต่ภูมิประเทศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เต็มไปด้วยภูเขาสูง ๆ ที่มียอดแหลม ๆ เรียงรายกันอยู่

 
คำว่า Teton มาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งนักสำรวจชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบเทือกเขาแห่งนี้ขนานนามไว้ตามสิ่งที่เขานึกถึง แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "tits"

 
สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งนี้คือมูส (moose) ตัวใหญ่มากครับ แถมดุอีกด้วย ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด มันจะชอบกินหญ้าอยู่ตามหนองน้ำ

 
ดูรูปไปเรื่อย ๆ แล้วกันนะครับ

 
ฤดูใบไม้ร่วงกับต้นแอสเพน (aspen) ที่เหลืองอร่าม

 
หิมะขาวโพลนในฤดูหนาว

 
แม่น้ำที่คดเคี้ยวสายนี้เรียกว่า Snake River เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดจุดหนึ่ง

 
แปลเอาเองละกันนะ

 
Hidden Fall น้ำตกที่ซุกซ่อนตัวอยู่ระหว่างสองยอด

 
Mount Moran เป็นจุดที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่ง
เพราะภูเขาจะสะท้อนผิวน้ำที่นิ่งสนิทโดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ขึ้น

 
ยามพระอาทิตย์ตกก็สวย

 
โดยเฉพาะที่ Snake River