ปีศาจแห่งโรงอุปรากร
เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า (ละครเพลง)
เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า | |
---|---|
ผู้ประพันธ์ | กาสตง เลอรูซ์ |
ชื่อต้นฉบับ | Le Fantôme de l'Opéra |
ประเทศ | ฝรั่งเศส |
ภาษา | ภาษาฝรั่งเศส |
ประเภท | Gothic novel |
ผู้เผยแพร่ | Pierre Lafitte and Cie. |
วันเผยแพร่ | September 23, 1909 to January 8, 1910 |
ชนิดสื่อ | Print (Serial) |
หมายเลข OCLC | 15698188 |
จากเนื้อหาที่คลาสสิกของ เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า นี้เอง ที่ทำให้มีการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์, ละครเวที และละครเพลงอยู่บ่อยครั้งตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และยังมีบทประพันธ์ลูกอีกหลายเรื่อง อาทีเช่น The Phantom (โดย Susan Kay), แฟนธ่อม ออฟ เดอะ แมนฮัตตัน เป็นต้น
นิยายเรื่อง เดอะแฟนท่อมออฟดิโอเปร่า นับเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ด้วย เนื่องจาก กาสตง เลอลูซ์ได้เขียนขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยนับจากช่วงเวลาที่เขาเขียนนิยายย้อนกลับไปประมาณสามสิบปี ซึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจแก่เลอลูซ์ คือ "การตกลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุของโคมระย้า" ระหว่างอุปรากรเรื่อง "เฟาสต์" ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายคนและเสียชีวิตหนึ่งคน, การจมน้ำเสียชีวิตของคนกลุ่มเล็กๆ ในคลองใต้โรงละครอย่างลึกลับ, การเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของเคาต์ฟิลลิปป์ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์โรงละคร และมีการพบศพของเขาที่ปากท่อระบายน้ำ, เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในโรงละคร และการที่โรงละครจะต้องสูญเงินอย่างเป็นปริศนามากถึง 20,000 ฟรังส์ต่อเดือนในช่วงนั้น
แม้ในนิยาย "ผีแห่งโรงละคร" จะเป็นเรื่องที่พูดกันมากในช่วงเวลานั้นจริงๆ แต่แท้จริงแล้ว เรื่องของผีไม่ใช่เรื่องแพร่หลาย หากเป็นเรื่องที่รู้กันลับๆ เฉพาะในหมู่คนที่ทำงานในโรงอุปรากรเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรื่องของผีตนนี้โด่งดังขึ้นจากนวนิยายของเลอรูซ์นั้นเอง
กาสตง เลอรูซ์ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเชื่อเรื่องที่เขาเขียน และยังอ้างว่าระหว่างการซ่อมแซมโรงอุปรากรการ์นิเย่ เขาได้พบศพของมนุษย์ ซึ่งเขาแน่ใจว่านั่นคือ อีริค-ผีแห่งโรงละคร โดยอ้างว่าโครงกระดูกนั่นมี "แหวนทองคำเกลี้ยง" สวมที่นิ้ว ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของคนเปอร์เซียที่ว่า "เขาได้รับแหวนทองคำจากคริสติน ดาเอ้ในวันที่เธอทิ้งเขาไป" แต่เลอรูซ์ ไม่ได้บอกว่าร่างที่เชื่อว่าเป็นอีริคนั้นถูกย้ายไปไว้ที่ไหน
ตัวละครสำคัญ
- อีริค (Erik-ไม่ปรากฏว่ามีนามสกุล) - บุรุษที่มีน้ำเสียงไพเราะราวกับเทพจากสวรรค์ซึ่งสวนทางกับใบหน้าที่เสียโฉมอย่างรุนแรงจนถึงขั้นอัปลักษณ์ แฝงตัวเองใว้ภายใต้ชื่อ "ปีศาจแห่งโรงอุปรากร (The Phantom of the Opera)" เนื่องจากต้องการหลบหนีความโหดร้ายของสังคมมนุษย์ ซึ่งความโหดร้ายของสังคมมนุษย์นี่เองที่ทำให้เขากลายเป็นคนเสียสติและถูกคนในโรงละครเข้าใจผิดว่าเป็นผี เขาเป็นอัจฉริยะทางดนตรีที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโรงละคร เขาเป็นผู้ปลุกปั้นคริสตินให้เป็นเพชรเม็ดงามของโรงละครและรักเธอในที่สุด ในนวนิยายบรรยายถึงเขาว่ามีดวงตาสีทอง มีรูปลักษณ์ที่ผอมและบอบบางอย่างมากจนราวกับโครงกระดูกที่มีชีวิตซึ่งลักษณะอันนี้ทำให้เขาเคยถูกจับโชว์ในชื่อ "ซากมีชีวิต" และถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ ในหนังสือนอกจากเขาจะมีความเป็นอัจฉริยะหลายด้านแล้ว เขายังใช้ภาษาพูดที่มีลักษณะเหมือนตนเองเป็นบุคคลที่สาม คล้ายภาษาพูดของด๊อบบี้ในแฮร์รี่ พอตเตอร์
- คริสติน ดาเอ้ (Christine Daaé) - หญิงสาวนักร้องอุปรากรชาวสวีเดน ลูกศิษย์ของอีริค มีดวงตาสีฟ้าและผมสั้นสีบรอนซ์ เธอเชื่อว่าเขาเป็นทูตสวรรค์เพราะน้ำเสียงอันไพเราะผิดมนุษย์กับความลึกลับของเขา และความหลงใหลในน้ำเสียงอันไพเราะของเขาและความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เธอกระชากหน้ากากของเขา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของโศกนาฏกรรมก็ว่าได้
- ราอูล (Raoul, Viscount de Chagny) - บุรุษรูปงามผู้เป็นเพื่อนรักกับคริสตินมาตั้งแต่เด็ก เป็นชายหนุ่มที่ทรงเสน่ห์ และหยิ่งยโสในความงามของตน เขาเป็นน้องชายของเคาต์ฟิลลิปป์ เดอ ชานี ผู้อุปถัมภ์โรงละคร
- คนเปอร์เซีย ตัวละครสำคัญของเรื่อง เป็นผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวของอีริค และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนเดียวที่อีริคสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นเพื่อน เขาเป็นเจ้าของวลีที่ว่า "ยกมือขึ้นระดับสายตา" เพราะหากยกมือขึ้นระดับสายตา ห่วงปันจาบจะลงมาคล้องคอไม่ได้ กาสตรง เลอรูซ์ บรรยายถึงเขาว่า "มีผิวสีน้ำตาลเข้มและดวงตาสีเขียวเหมือนหยก" ไม่ปรากฏชื่อในเรื่อง แต่อีริคเรียกเขาว่า "ดาโรก้า" ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าตำรวจของอิหร่าน ทำให้สามารถคาดเดาได้ว่าเขาเป็นข้าราชการ เขาเป็นผู้ที่ช่วยอีริคจากความโหดร้าย
- มาดามจีรี เป็นคนเดินสารระหว่างอีริคกับโรงอุปรากร เพราะเธอเคยได้รับความช่วยเหลือจากเขามาก่อน และเป็นหนึ่งในบุคคลไม่กี่คนที่นอกจากจะไม่กลัวเขาแล้วยังรู้สึกสงสารเขา เธอเป็นผู้เก็บรักษากล่องดนตรีของอีริคหลังความตายของเขา
- เม็ก จีรี ลูกสาวของมาดามจีรี เป็นดาวนักบัลเลต์อันดับหนึ่ง เธอมีผมสีดำ ผิวคล้ำ และตาสีดำ เหมือนชาวชวา หรือ ศรีลังกา ซึ่งแตกต่างจากคนฝรั่งเศสทั่วไป(คาดว่าเธอจะเหมือนพ่อ) ซึ่งเป็นปมด้อยที่ทำให้เธอมักพูดถึงตัวเองว่า "ผู้หญิงชั้นต่ำ น่าสมเพช" อีริคเคยทำนายไว้ด้วยไพ่ทาโรต์ว่า "เธอจะได้เป็นจักรพรรดินีของแม่" และภายหลังเธอได้กลายเป็นภรรยาขุนนาง ตามที่อีริคเคยทำนาย
- เคาต์ฟิลลิปป์ (Count Philippe de Chagny) พี่ชายของราอูล มีอายุมากกว่าราอูลถึง 20 ปี และเป็นคนที่ผู้ประพันธ์นิยายอ้างว่าความตายของเขาเป็นเหตุให้ผู้ประพันธ์ค้นหาความจริง และได้พบกับคนเปอร์เซียและมาดามจีรี ซึ่งทั้งคู่ได้เปิดเผยเรื่องราวของอีริค
เรื่องย่อ
บทความนี้อาจต้องการพิสูจน์อักษร ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ราอูลแอบได้ยินคริสตินกับอีริคคุยกันในห้องแต่งตัว ด้วยความหึงหวงเนื่องจากเสียงของอีริคไพเราะอ่อนหวานมาก ราอูลพยายามสืบหาว่าคริสตินแอบพบกับใครเป็นการลับๆ กันแน่ จนกระทั่งในงานราตรีหน้ากาก เมื่อคริสตินพาราอูลออกจากงานเลี้ยงเพราะอีริคได้ปรากฏตัวในคราบ "มัจจุราชแดง" (the red Death) เขาจึงคาดคั้นเอากับเธอ และรู้ความจริงว่าภายใต้ชุดมัจจุราชแดงนั้นคือคนบ้า-อัปลักษณ์ (ไม่ใช่หนุ่มน้อยรูปงามอย่างที่กลัว) ที่มีความเป็นอัจฉริยะในตัว ทำให้เขาสบายใจและบอกเธอว่าจะปกป้องเธอ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจจะรักกัน และทำให้อีริคที่แอบฟังอยู่เสียใจมาก การพยายามค้นหาความจริงทำให้ราอูลได้รู้เรื่องราวของอิริคจากชายลึกลับชาวเปอร์เซีย ส่วนอีริคนั้น เมื่อทนต่อความเสียใจและอุปสรรคที่บีบเข้ามาทุกทางไม่ได้ อีริคก็ลักพาคริสตินไปขังไว้ที่ถ้ำใต้ดินของโรงอุปรากรและขอร้องไปจนถึงบังคับให้เธอเลือกเขา เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีคนตายจากการกระทำของอีริคมากมาย รวมทั้งเคาต์ฟิลลิปป์ ทำให้ราอูลตัดสินใจตามหาเขาเพื่อช่วยคริสตินและล้างแค้น
อีริคได้ไปพบชายชาวเปอร์เซียที่บ้าน และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ชายชาวเปอร์เซียเข้าใจในความรักที่อีริคมีต่อคริสติน ในการพบกันครั้งสุดท้ายคริสตินได้ยอมเสียสละเพื่อช่วยชีวิตราอูล โดยก้มลงจูบอีริคอย่างไม่รังเกียจ ทำให้อีริคที่พิการทั้งร่างกายและจิตใจได้รับความสุขอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต อีริคตัดสินใจปลดปล่อยคริสติน และราอูลเป็นอิสระ จากนั้นก็ล้มป่วยด้วยความตรอมใจ และเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในอีก 3 สัปดาห์ถัดมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น